๑. ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเรื่องที่เราจะทำวิจัยมีความสำคัญจริง
- ประเมินจากมูลค่าทางเศรษฐกิจของสิ่งที่ทำ, จำนวนผู้คนที่ได้รับประโยชน์จากผลการวิจัย และการได้รับประโยชน์ของกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นผู้ที่ด้อยกว่าทางสังคม
๒. ทำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงแรงจูงใจในการทำวิจัย
- ประเมินจากการเป็นช่องว่างทางวิชาการที่ยังไม่มีคำตอบ, ยังไม่มีการศึกษาในเรื่องนี้และต้องการได้คำตอบ
เนื่องจากมีความสำคัญ(ตามข้อที่ ๑)
๓. ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเราคือคนที่ใช่ สำหรับการทำวิจัย
- ประเมินจากความเชี่ยวชาญของผลงานที่ผ่านมา, ความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ และความได้เปรียบ เรื่องข้อมูล
๔. แนะปัญหาที่กำลังค้นคว้า เป็นการท้าวภูมิหลังและความเป็นมา
- ประเมินจากการจัดลำดับให้ชัดเจนของเรื่องราว แหล่งกำเนิด ผู้ค้นพบ การสืบทอดของปัญหา ที่มาของ การวิจัย โดยใช้เหตุ และผลมาสนับสนุนความคิดต่าง ๆ เหล่านั้น เพื่อชี้แนะให้เห็นความจำเป็น และความสำคัญของการทำวิจัย เรื่องที่อ้างอิง และสนับสนุนควรจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยเท่านั้น
๕. กล่าวถึงจุดสนใจของการศึกษาค้นคว้าและมูลเหตุของการทำวิจัยที่ผู้วิจัยจะทำการศึกษาค้นคว้า
- ประเมินจากการนำเรื่องที่ได้รับความสนใจในขณะนั้น หรือเป็นเรื่องราวที่ยังมิได้รับคำตอบครบถ้วน หรือขาดรายละเอียด
๖. การเขียนบรรยายถึงความจำเป็นในการศึกษา และการได้รับคำตอบจากงานวิจัย มีคุณประโยชน์และมีคุณค่า
- ประเมินจากความต้องการและการยืนยัน หรือการลบล้างความเปลี่ยนแปลงของสภาพและสถานการณ์ต่างๆ ที่เคยได้มีการศึกษามาแล้ว อีกทั้งใช้หลักการและเหตุผลในการตอบสนองและหักล้างแนวความคิด
๗. การเขียนนำเรื่องความเป็นมา และความสำคัญของปัญหา โดยใช้วิธีดังต่อไปนี้
๗.๑ เขียนจากหลักการ และนำเข้าสู่เรื่องเฉพาะ (Deductive Method)
๗.๒ เขียนจากเรื่องเฉพาะ แล้วดำเนินไปถึงเรื่องทั่ว ๆ ไป (Inductive Method)
๗.๒ เขียนจากเรื่องเฉพาะ แล้วดำเนินไปถึงเรื่องทั่ว ๆ ไป (Inductive Method)
- ประเมินจากการเขียนนำในเรื่องความเป็นมานั้น จะใช้แบบใดแบบหนึ่งก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และการวางแผนงานของผู้วิจัย แต่อย่างไรก็ตามผู้วิจัยควรหาหลักฐานในการยืนยันมาสนับสนุนข้อมูลทุกขั้นตอน และพยายามทำให้ผู้อ่านงานวิจัยรู้เรื่องและติดตามงานวิจัยโดยตลอดทั้งเรื่อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น